เลขานุการผู้บริหารจะต้องแต่งกายให้มีความเหมาะสม
สะอาด สุภาพ เรียบร้อย และถูกเทศกาลเทศะโดยคำนึงว่าเลขานุการผู้บริหารจะต้องพบปะบุคคลทั้งภายในและภายนอก
1)
เสื้อผ้า
ควรอยู่ในสมัยนิยม คำนึงถึงประเพณีนิยมและความพอดี
รู้จักเลือกสีให้เหมาะกับผิวและรูปร่าง
2) การเลือกกระเป๋าถือและรองเท้า ควรเลือกให้เหมาะสมกับตนเองและเลือกใช้หนังที่มีคุณภาพดี โดยควรให้กระเป๋ากับรองเท้าเข้าชุดกันด้วย ต้องหมั่นดูแลให้สะอาดและเรียบร้อย
3) หลักการแต่งหน้าที่ดี ควรแต่งแต่พองามไม่ฉูดฉาด แต่งตามธรรมชาติให้แลดูสวยงามยิ่งขึ้นเท่านั้น
4) เล็บและการทาเล็บ เล็บไม่ควรสั้นหรือยาวเกินไปแต่งปลายให้พองาม หากทาเล็บควรเลือกสีกลาง ๆ และควรดูแลเอาใจใส่ให้สะอาดอยู่เสมอ
5) ผม หมั่นสระผมให้สะอาดอยู่เสมอ ควรแต่งผมบ่อยๆ เลือกแบบผมที่รับกับใบหน้า ส่วนสูง และน้ำหนัก ขนาด และรูปร่างช่วงยาวของลำคอด้วย
6) เครื่องประดับ การแต่งกายที่ดีควรใช้เครื่องประดับเพียงน้อยชิ้น แต่เป็นของดีมีราคาดีกว่าใช้เครื่องประดับมากเกินไป
อนึ่งเมื่อมีการดูแลในเรื่องของการแต่งกายให้ดีแล้ว สิ่งที่เลขานุการผู้บริหารควรปรับปรุง ฝึกหัดให้ต้องเป็นนิสัยที่ดีคือ การนั่ง การยืน และการเดินที่ดี เพื่อเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดี
เลขานุการผู้บริหารควรมีกิริยา วาจาสุภาพ
ใช้คำพูดที่เหมาะสม
ยิ้มแย้มแจ่มใสให้การต้อนรับแก่ผู้ที่มาติดต่อด้วยกิริยามารยาทที่เหมาะสม สุภาพ
อ่อนน้อมถ่อมตน จะต้องให้ความเคารพต่อผู้อาวุโส มีสัมมาคาราวะ
และสามารถเข้ากับผู้ร่วมงานได้ดี ไม่ถือตัว เย่อยิ่ง วางตัวเป็นกลาง
ไม่ใช้อำนาจของผู้บริหารมากล่าวอ้าง ต้องรู้จักควบคุมอารมณ์โกรธ
ไม่ให้เกิดผลเสียต่องาน และจะต้องให้ความร่วมมือ จริงใจกับเพื่อนร่วมงาน
จะเห็นได้ว่า คนที่มีบุคลิกภาพดีย่อมเป็นที่ชื่นชอบของผู้ที่ได้พบเห็น เป็นคนที่ใครๆ ก็อยากรู้จักคบค้าสมาคมด้วย
องค์ความรู้ในการพัฒนาบทบาทหน้าที่ของเลขานุการผู้บริหารในด้านมนุษยสัมพันธ์ มีดังนี้
1)
การสร้างมนุษย์สัมพันธ์กับผู้บริหาร
จะต้องทำความเข้าใจในตัวผู้บริหาร
ให้ความสนใจสิ่งที่มีความสำคัญยิ่งต่อผู้บริหารคือ ความสำเร็จ
รวมทั้งการสร้างลักษณะนิสัยที่พึงประสงค์ เช่น ความรู้ความสามารถ ความจงรักภักดี
ความซื่อสัตย์สุจริต ความรับผิดชอบในการทำงาน เป็นต้น
2)
การสร้างมนุษยสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน
จะต้องทำตนเป็นที่ยอมรับของเพื่อร่วมงาน สังเกตและปฏิบัติตามกติกาของที่ทำงาน
และรับผิดชอบงานในหน้าที่ของตนให้ดี
มารยาททางสังคมของเลขานุการทางการแพทย์
ในการแนะนำผู้อื่น (โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้า)
ให้รู้จักกับองค์กรของเราเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นที่จะต้องให้ข้อมูลและรายละเอียดพื้นฐานขององค์กรให้ถูกต้อง
ชัดเจน
เลขานุการจะต้องแม่นยำในเรื่องของข้อมูลองค์กรในการตอบคำถามกับผู้อื่นเสมอไม่ควรตอบคำถามด้วยคำว่า
“ไม่ทราบ” หรือตอบด้วยความไม่แน่ใจ
อึกอึก อักอัก จนทำให้ไม่น่าเชื่อถือ และทำให้พลาดโอกาสดีๆ
ที่จะประชาสัมพันธ์องค์กร
สำหรับการต้อนรับผู้มาติดต่อ
ดังที่ทราบกันว่าเลขานุการจะต้องเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก
แตกต่างกันไปทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิ จึงจำเป็นจะต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ว่าด้วยการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับคนเหล่านั้นเพื่อให้เกิดความร่วมมือที่ดีต่อกันในการทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย
เลขานุการที่ดีต้องไม่กีดกันผู้มาติดต่อยกเว้นได้รับคำสั่งจากเจ้านายเท่านั้น
เลขานุการจะต้องมีปฏิภาณไหวพริบพิจารณาได้ว่าผู้มาติดต่อคนไหนที่เจ้านายไม่พึงประสงค์จะให้พบ
แล้วกล่าวปฏิเสธกับคนๆ นั้นอย่างสุภาพและนุ่มนวล เช่นว่า “ท่านไม่อยู่นะคะ/ครับ
ไปประชุมข้างนอกหรือไปต่างจังหวัดหรือไปต่างประเทศ
จะให้ดิฉัน/ผมช่วยอะไรได้บ้างคะ/ครับ
หรือจะฝากเรื่องไว้ที่ดิฉัน/ผมก่อนดีไหมคะ/ครับ หากท่านกลับมาแล้วจะเรียนให้ท่านทราบนะคะ/ครับ”
อย่างไรก็ตาม
สิ่งที่ควรยึดถือในการให้การต้อนรับผู้มาติดต่อก็คือ ความสุภาพ ความนุ่มนวล
การแสดงความเป็นมิตร การให้ความสำคัญและการปฏิบัติอย่างเหมาะสมกับทุกๆ
คนไม่ว่าจะเป็นเด็กส่งเอกสารหรือแขกผู้ใหญ่อย่างเท่าเทียมกัน เช่นว่า หากผู้มาติดต่อจะต้องรอนานก็ควรจะเชิญให้เขานั่งอ่านหนังสือพิมพ์รอและบริการเครื่องดื่มให้เขาตามความเหมาะสมไม่ว่าจะเป็นเด็กส่งเอกสารหรือแขกผู้ใหญ่
ทั้งนี้ เพื่อให้เขามีความรู้สึกว่าเราให้เกียรติเขา เขาก็จะเกิดความประทับใจ
หากเกิดความประทับใจแล้วก็ย่อมอยากติดต่อกับเราเสมอ
แต่หากไม่ประทับใจแล้วก็อาจจะเลิกราความสัมพันธ์กับเราไปได้
ทำให้องค์กรของเราสูญเสียโอกาสและลูกค้าไปได้
ในบางโอกาสที่เราต้องแนะนำตัวเองและองค์กรกับคู่สนทนา
นอกจากจะสนทนากันเพียงอย่างเดียวเราอาจจะมีการแลกนามบัตรกับคู่สนทนาของเราไปด้วยเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้กับองค์กร
โดยกล่าวด้วยความสุภาพว่า “ขออนุญาตให้นามบัตรดิฉัน/ผมไปด้วยนะคะ/ครับ
เผื่อจะมีโอกาสติดต่อกันบ้างคะ/ครับ”
และเมื่อเราได้รับนามบัตรจากคู่สนทนา
หากเป็นคู่สนทนาที่อาวุโสมากกว่าเราก็ควรยกมือไหว้และกล่าว“ขอบพระคุณมากค่ะ/ครับ” หากเป็นคู่สนทนาที่อยู่ในวัยใกล้เคียงกันหรืออ่อนกว่าก็ควรกล่าว
“ขอบคุณมากค่ะ/ครับ” พร้อมกับให้ความสนใจดูนามบัตรที่รับมาสักเล็กน้อยเพื่อแสดงความสนใจและยินดีที่ได้รู้จักกับเขาจริงๆ
ในการสนทนาสิ่งที่ควรคำนึงถึงคือ การพูดจาจะต้องไพเราะ
มีหางเสียง พูดด้วยความอ่อนน้อม ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และจะต้องเป็นนักฟังที่ดี
ไม่ควรพูดแทรกในระหว่างที่คู่สนทนากำลังพูดอยู่
และไม่ควรพูดเจื้อยแจ้วเรื่อยเปื่อยเพราะจะดูไร้สาระเกินไป
ในเรื่องของงานประชุมเรียกได้ว่าเป็นงานหลักของเลขานุการที่จะต้องดูแลความเรียบร้อยโดยตรงนับตั้งแต่เริ่มต้นไปจนจบการประชุม
เลขานุการจะต้องให้ความสำคัญกับการเตรียมการประชุมทุกครั้งเพื่อให้การประชุมสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
โดยลำดับขั้นตอนดังนี้
1.
นัดวัน/เวลาประชุม
เริ่มต้นด้วยการโทรศัพท์เช็ควัน/เวลาที่จะประชุมกับผู้ที่จะเข้าประชุมแต่ละคนว่าสะดวกตรงกันหรือไม่ ในบางคราวอาจจะสะดวกตรงกันทั้งหมด
แต่บางคราวอาจจะมีปัญหา
เลขานุการจะต้องพิจารณาวัน/เวลาให้เหมาะสมและสะดวกกับผู้เข้าประชุมทุกคน ทั้งนี้
เพื่อให้การประชุมดำเนินไปได้โดยครบองค์ประชุม
2.
จัดทำวาระประชุม
เพื่อให้การประชุมดำเนินไปอย่างเป็นขั้นตอนและอยู่ในกรอบ
ไม่ตกหล่นเรื่องสำคัญที่จะต้องพิจารณา
3.
จัดเตรียมเอกสารการประชุม
สำหรับการจัดเตรียมแฟ้มเอกสารเพื่อใช้แจกผู้เข้าประชุมในแต่ละครั้งซึ่งปกติจะประกอบด้วย
รายงานการประชุมครั้งที่ผ่านมา วาระการประชุมครั้งใหม่ เอกสารประกอบการพิจารณา
พร้อมทั้งกระดาษเปล่า ดินสอหรือปากกา
เลขานุการควรจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยก่อนวันประชุมเสมอ และหากบางคราวที่จะต้องไปประชุมภายนอกองค์กรควรจะต้องสำรองไว้ด้วยเผื่อมีเหตุฉุกเฉินเอกสารไม่เพียงพอหรือสูญหาย
4.
ออกจดหมายเชิญประชุม
เมื่อกำหนดวันประชุมเรียบร้อยแล้ว
เลขานุการควรจัดทำจดหมายส่งเป็นหลักฐานยืนยันการเรียนเชิญประชุมให้กับผู้เข้าประชุมทุกคนทราบวัน
เวลา สถานที่ และวาระประชุม ล่วงหน้าก่อนวันประชุม 1 สัปดาห์
5.
โทรศัพท์ยืนยันการประชุม
ก่อนวันประชุมประมาณ 2
วันเลขานุการควรจะโทรศัพท์ยืนยันการประชุมกับผู้เข้าประชุมอีกครั้งเพื่อย้ำเตือนก่อนการประชุม
6.
จัดเตรียมสถานที่ที่จะประชุม
ก่อนวันประชุมควรดูแลเรื่องสถานที่ประชุมให้เรียบร้อยทั้งห้องประชุม
โต๊ะ เก้าอี้ เครื่องปรับอากาศ แสง หรือเครื่องเสียง (หากต้องใช้) ห้องน้ำ
สถานที่จอดรถ รวมทั้งภาชนะใส่อาหารและเครื่องดื่มที่จะใช้รับรองผู้เข้าประชุม
(กรณีที่จัดประชุมในองค์กร) ซึ่งการดูแลในเรื่องต่างๆ ดังกล่าวถือเป็นหน้าที่ที่เราจะละเลยไม่ได้
เพราะเราคือเจ้าภาพ เจ้าภาพที่ดีควรมีความพร้อมในการรับรองแขก
หากเราจัดการสภาพแวดล้อมทุกสิ่งทุกอย่างได้เรียบร้อยการประชุมก็จะราบรื่นไปได้ด้วยดี
7.
จัดวางเอกสารการประชุม
ในส่วนของการจัดวางเอกสารการประชุม ควรจัดวางกระดาษ
ดินสอหรือปากกาไว้บนโต๊ะประชุมให้เรียบร้อยก่อนเริ่มการประชุม
ส่วนเอกสารการประชุมควรเตรียมไว้รอแจกผู้เข้าประชุมตอนเริ่มประชุมเนื่องจากเอกสารการประชุมในบางครั้งอาจเป็นเรื่องลับเฉพาะ
โดยมารยาทเราก็ควรเก็บรักษาไว้เป็นความลับเฉพาะในที่ประชุมเท่านั้น
8.
รับรองผู้เข้าประชุม
สำหรับการรับรองผู้เข้าประชุมหากใช้เวลาในการประชุมไม่มากนักเราควรจัดเลี้ยงด้วยอาหารว่างที่รับประทานได้ง่ายๆ
เช่น แซนวิชหรือคุกกี้หรือขนมปังชิ้นพอดีคำ ไม่ต้องตัดลำบาก
เสริฟกับเครื่องดื่มประเภทน้ำชา/กาแฟ
แต่หากการประชุมใช้เวลานานจนคาบเกี่ยวมื้ออาหารกลางวันหรืออาหารเย็นก็อาจจะต้องเลี้ยงอาหารในมื้อคาบเกี่ยวนั้นด้วย
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับงบประมาณสำหรับการจัดประชุมของแต่ละองค์กร อย่างไรก็ตาม
เราควรใส่ใจรับรองผู้เข้าประชุมทุกคนโดยไม่ขาดตกบกพร่อง
หากสามารถจดจำได้ว่าผู้เข้าประชุมคนไหนชอบดื่มเครื่องดื่มประเภทใด เติมอะไรบ้าง
ไม่เติมอะไรบ้าง ก็จะเป็นการสร้างความประทับใจได้อีกทางหนึ่งเช่นกัน
9.
จดบันทึกการประชุม
ควรจดบันทึกการประชุมด้วยความคล่องแคล่ว รวดเร็ว
มีสมาธิ บันทึกให้ถูกต้อง และเข้าใจง่าย
10.
จัดพิมพ์รายงานการประชุม
หลังจากประชุมเสร็จแล้วควรรีบจัดพิมพ์รายงานการประชุมเพื่อสรุปสาระและมติของที่ประชุมเสนอประธานตรวจ/พิจารณาไม่ควรเกิน
1 วันหลังจากวันประชุม
เมื่อประธานตรวจ/พิจารณาเรียบร้อยแล้ว
หากมีแก้ไขก็รีบแก้ไขโดยทันทีเพื่อจะได้จัดส่งให้กับผู้เข้าประชุมโดยเร็ว
11.
จัดส่งรายงานการประชุมให้ผู้เข้าประชุม
ควรรีบจัดส่งรายงานการประชุมให้ผู้เข้าประชุมทันทีหลังจากที่ประธานตรวจเรียบร้อยแล้ว
ไม่ว่าจะส่งทางโทรสารหรือไปรษณีย์หรืออีเมล์
โดยมารยาทแล้วเราควรโทรศัพท์เช็คเสมอว่าผู้เข้าประชุม
(อาจจะเช็คที่เลขานุการหรือผู้ช่วย) ได้รับรายงานการประชุมเรียบร้อยหรือไม่
และเป็นการเช็คด้วยว่ารายงานการประชุมที่เราส่งไปไม่สูญหาย
12.
จัดเก็บรายงานการประชุม
ภารกิจสุดท้ายของการประชุมก็คือ
การจัดเก็บเอกสารรายงานการประชุม ควรจะจัดให้เป็นหมวดหมู่ จัดแบ่งเป็นรายปี
เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย หยิบก็ง่าย หายก็รู้
เมื่อใดที่เจ้านายเรียกดูเราก็สามารถนำเรียนเจ้านายได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาหาอยู่เป็นนานสองนานไม่ทันการ
สำหรับหลักสำคัญในการติดต่อทางโทรศัพท์อย่างมีมารยาทนั้น
ควรยึดถือความสุภาพเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีผู้ติดต่อมา
(กรณีที่ไม่รู้จักกันมาก่อน)
เขาจะรู้สึกว่าเขาคุยอยู่กับเจ้านายของเราและองค์กรของเรามากกว่ารู้สึกว่าได้คุยกับเลขานุการหรือพนักงานอย่างเรา
(อย่าลืมว่าเราคือตัวแทนของเจ้านายและองค์กร)
ความสุภาพจะช่วยให้ผู้ติดต่อมาเกิดความประทับใจ
อีกทั้งน้ำเสียงที่ใช้ควรเป็นธรรมชาติ ควรพูดจาให้ชัดถ้อยชัดคำ
ควรฟังอย่างตั้งใจเพื่อความชัดเจนในการบันทึกข้อความ
หากเสียงพูดของผู้ติดต่อไม่ดังหรือไม่ชัดเจนก็ควรบอกเขาไปด้วยความสุภาพว่าเราได้ยินไม่ชัดเจน
ขอความกรุณาเขาพูดซ้ำเพื่อความชัดเจน นอกจากนี้
หากมีโทรศัพท์ติดต่อผิดเบอร์มาเราก็ควรพูดกับเขาและบอกเขาด้วยความสุภาพเช่นกัน
ไม่ควรแสดงอารมณ์รำคาญหรือต่อว่าเขาไป
และที่สำคัญควรแม่นยำในเรื่องการให้ข้อมูลเบื้องต้นขององค์กรหากมีผู้ติดต่อสอบถาม
ที่มาจาก : http://personality-medsec.blogspot.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น